วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2563

เรียนไสยเวทย์ แต่ควบคุมไสยเวทย์ไม่ได้ เพราะอะไร ?

เรียนไสยเวทย์ แต่ควบคุมไสยเวทย์ไม่ได้ เพราะอะไร ?

..ขออภัยต่อบูรพาจารย์ ครูทั้งหลาย ข้าพเจ้าอาจมีความรู้เพียงหางอึ่ง ที่บังอาจ มาโพส์ตในภูมิปัญญา ในเรื่องนี้ ต้องขอสมาอภัย ไว้ในโอกาสนี้
// คนเราก็สักแต่เรียน โดยไม่ได้สนใจ ในสัจจะธรรมความจริงของวิชา ได้แต่อาศัยความศรัทธา ความเพียรและอดทน ฝึกปรือ เพื่อให้ได้มา เพียงแค่วิชานั้นๆ ด้วยหมายใจเพียงเพื่อสนองความต้องการของตน ตามคำบอกของผู้อื่น เป็นปฐมเหตุ (ฟังเขาว่ามา) เกิดความอยากรู้ อยากทำได้เหมือนดังที่เขาเล่า จึงสนใจ และเริ่มกระบวนการหาความรู้ต่างๆ วิ่งหาครูแลอาจารย์ บางท่านเสียค่าครูเป็นแสน บางท่านเป็นหมื่น บางท่านเป็นพัน เพื่อสนองกิเลสตัณหาของครูผู้ถ่ายทอดวิชานั้นๆ ด้วยความโลภ (ค่าวิชา) ซึ่งในความจริงแล้ว ไม่ได้เป็นดังนั้น จะไม่ขอกล่าวต่อ เดียวจะกลายเป็นประเด็น ดราม่า
//หลายครูหลายอาจารย์ ต่างมีข้อห้ามของแต่ละวิชา ที่จะกำหนดมา ตามภูมิความรู้ เมื่อปฏิบัติตามไม่ได้ ก็วิชาเสื่อม ของเข้าตัว แต่ก็ยังอวดโอ้โอหัง โชว์ ว่าของตรูนั้นแน่จริง ด้วยพยายามรักษาหน้าตาชื่อเสียง ภาพพจน์ต่างๆ เพื่อยังความเชื่อถือ ไม่ให้ถดถอย เอกลาภที่จะเข้ามาสู่มือตน รายได้ สรุปคือ ผลประโยชน์นั้นเอง
//เมื่อเรารับคำสัจจะมาจากครูบาอาจารย์ ไม่ว่าจะด้วยกฏข้อใด ก็แล้วแต่ นั้นแหละคือ การกุมของ กุมวิชาไสยเวทย์ เมื่อรักษาไม่ได้ คือ ทำตามคำสัจจะไม่ได้ ของที่มีก็เสื่อมไป ประการหนึ่ง อีกประการหนึ่ง คือจิตของตน อารมณ์ของตนนั้นแล คือที่มาของการผิดพลาด เพราะหลงในวิชา ความศักดิ์สิทธิ์ของวิชา จนขาดซึ่งปัญญา ที่จะพิจารณาไตร่ตรอง สนองแต่อารมณื ความต้องการของตน จึงควบคุมไสยเวทย์นั้นไม่ได้ นี่ก็คืออีกประการหนึ่ง ที่กุมของไม่ได้ อีกประการหนึ่ง วิชาไสยเวทย์คือการบำเพ็ญภาวนา เข้าภวังค์แห่งสมาธิกัมมัฏฐาน อาศัยกสินต่างๆ เป็นกำลัง แห่งไสยเวทย์นั้นๆ แต่ก็พลาดท่า เพราะขาดสติ ความเสมอต้นและเสมอปลาย ที่จะบำเพ็ญในวิชา จึงเป็นที่มาของความเสื่อม และไม่สามารถควบคุมไสยเวทย์นั้น บางอาจารย์ บางครูตามคำที่กล่าวเอาไว้ กลายเป็น ปอบวิชา กระหังวิชา เพราะตนปฏิบัติไม่ได้หนึ่ง อีกประการหนึ่ง ผู้ที่เรียน ผู้ที่ใช้วิชา ต่างๆม่รู้หรืออาจจะไม่ได้ศึกษาในเบื้องลึกของวิชา ว่าต้องอาศัย กสินตัวใดเป็นแรงผลักดัน อาศัยกสินตัวใด ควบคุมวิชานั้นๆ ด้วยไม่รู้ ด้วยไม่มีการสอน หรือ เป็นการปิดบังวิชา เพื่อเอาไว้ควบคุมศิษย์ที่หักหลัง คิดคดทรยศ (ศิษย์คิดล้างครู) นี่ก็เป็นอีกประการหนึ่ง
//อย่าคิดเพียงแค่ว่า ท่องได้ เขียนได้ อ่านออก ทำเป็น ใช้ได้ เท่านั้น เพราะนั้นคือความคิดของ คนที่มีทิฏฐิและอวิชชา ที่ชอบยกตน เพื่อหวังในผลประโยชน์ของวิชานั้นๆ เขาเรียกว่า โง่แล้วอวดฉลาด จริงเท็จประการใด ก็ลองพินิจพิจารณา
//เอาเป็นว่า ผมสรุปแบบสังเขป ที่ไม่สามารถกุมวิชา ควบคุมไสยเวทย์ไม่ได้เพราะอะไร พอเป็นแนวทาง ซึ่งยังมีอีกมาก แต่ไม่ขออธิบาย..นะครับ
** สรุปได้ดังนี้ ที่ควบคุมไสยเวทย์ไม่ได้ โดยสังเขป **
** เมื่อเรารับคำสัจจะมาจากครูบาอาจารย์ ไม่ว่าจะด้วยกฏข้อใด ก็แล้วแต่ นั้นแหละคือ การกุมของ กุมวิชาไสยเวทย์ เมื่อรักษาไม่ได้ คือ ทำตามคำสัจจะไม่ได้ ของที่มีก็เสื่อมไป ประการหนึ่ง
** อีกประการหนึ่ง คือจิตของตน อารมณ์ของตนนั้นแล คือที่มาของการผิดพลาด เพราะหลงในวิชา ความศักดิ์สิทธิ์ของวิชา จนขาดซึ่งปัญญา ที่จะพิจารณาไตร่ตรอง สนองแต่อารมณื ความต้องการของตน จึงควบคุมไสยเวทย์นั้นไม่ได้ นี่ก็คืออีกประการหนึ่ง ที่กุมของไม่ได้ อีกประการหนึ่ง
** วิชาไสยเวทย์คือการบำเพ็ญภาวนา เข้าภวังค์แห่งสมาธิกัมมัฏฐาน อาศัยกสินต่างๆ เป็นกำลัง แห่งไสยเวทย์นั้นๆ แต่ก็พลาดท่า เพราะขาดสติ ความเสมอต้นและเสมอปลาย ที่จะบำเพ็ญในวิชา จึงเป็นที่มาของความเสื่อม และไม่สามารถควบคุมไสยเวทย์นั้น บางอาจารย์ บางครูตามคำที่กล่าวเอาไว้ กลายเป็น ปอบวิชา กระหังวิชา เพราะตนปฏิบัติไม่ได้หนึ่ง
** อีกประการหนึ่ง ผู้ที่เรียน ผู้ที่ใช้วิชา ต่างๆม่รู้หรืออาจจะไม่ได้ศึกษาในเบื้องลึกของวิชา ว่าต้องอาศัย กสินตัวใดเป็นแรงผลักดัน อาศัยกสินตัวใด ควบคุมวิชานั้นๆ ด้วยไม่รู้ ด้วยไม่มีการสอน หรือ เป็นการปิดบังวิชา เพื่อเอาไว้ควบคุมศิษย์ที่หักหลัง คิดคดทรยศ (ศิษย์คิดล้างครู) หรือพวกอวดรู้ดีเกินครูอาจารย์ นี่ก็เป็นอีกประการหนึ่ง
..เบญจา เสริมสิน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น